ปุ่ม Like บนเพจ Facebook หายไปไหน? อัปเดตล่าสุดและวิธีปรับตัวสู่ยุคใหม่ของ "ไลค์ Facebook
- Facebook interest
- Sep 4
- 2 min read

เจ้าของเพจและนักการตลาดหลายคนอาจกำลังสงสัยว่า "ปุ่ม Like" หรือ "ปุ่มถูกใจ" บน Facebook Page ที่คุ้นเคยหายไปไหน? การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เป็นส่วนหนึ่งของ "ประสบการณ์เพจแบบใหม่" (New Pages Experience) จาก Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) ที่ต้องการปรับเปลี่ยนวิธีการเชื่อมต่อระหว่างเพจและผู้ใช้งานให้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยหันมาให้ความสำคัญกับ "ผู้ติดตาม" (Followers) เป็นหลัก บทความนี้ Dr.Boost จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง พร้อมแนะแนวทางสำหรับผู้ดูแลเพจในการปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่ของการทำคอนเทนต์บน Facebook กัน
หัวข้อเนื้อหาในบทความนี้ (คลิกเพื่อยังหัวข้อ)
ทำความเข้าใจ "ประสบการณ์เพจแบบใหม่": ทำไมปุ่ม "ไลค์ Facebook" ถึงหายไป?

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นสิ่งที่ Facebook ได้เริ่มทยอยอัปเดตมาสักระยะแล้วครับ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดความสับสนระหว่างยอด "ไลค์" (Likes) และ "ผู้ติดตาม" (Followers) ในอดีต ผู้ใช้งานสามารถกด "ถูกใจ" เพจ แต่เลือกที่จะไม่ "ติดตาม" (Unfollow) ก็ได้ ทำให้ยอดไลค์ที่แสดงผลอาจไม่ได้สะท้อนจำนวนผู้ที่เห็นคอนเทนต์ของเพจในหน้าฟีดจริงๆ ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงตัดสินใจนำปุ่ม "ไลค์" ออกไป และคงเหลือไว้เพียงปุ่ม "ติดตาม" (Follow) เท่านั้น ซึ่งจะทำให้การวัดผลมีความชัดเจนมากขึ้น กล่าวก็คือ จำนวนผู้ติดตาม จะเท่ากับจำนวนผู้ที่ต้องการรับข่าวสารและอัปเดตจากเพจของคุณโดยตรงนั้นเองครับ
ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคของผู้ติดตาม (Followers)
สร้างกลุ่มเป้าหมายโฆษณาได้แม่นยำยิ่งขึ้น (More Precise Ad Targeting)
ทำให้ฐานข้อมูลของผู้ติดตาม (Followers) ที่มีความสนใจในเพจของคุณอย่างแท้จริง เป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมในการสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง (Custom Audience) และกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน (Lookalike Audience) ซึ่งจะช่วยให้การทำโฆษณาบน Facebook มีความแม่นยำและเข้าถึงคนที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าหรือบริการของคุณได้ดียิ่งขึ้น
การเข้าถึงโพสต์แบบออร์แกนิกมีคุณภาพมากขึ้น (Higher Quality Organic Reach)
เนื่องจากผู้ติดตามคือกลุ่มคนที่กดติดตามเพราะอยากที่จะเห็นคอนเทนต์ของคุณจริงๆ ดังนั้น เมื่อคุณโพสต์เนื้อหาออกไป การเข้าถึง (Reach) ที่เกิดขึ้นจึงเป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพ มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วม (Engagement) สูงกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่ออัลกอริทึมของ Facebook
ตัวชี้วัดความสำเร็จของเพจเข้าใจง่ายขึ้น (Simplified Success Metrics)
การมีตัวเลขเพียงหนึ่งเดียวคือ "ยอดผู้ติดตาม" ช่วยลดความสับสนในการวัดผลและการตั้งเป้าหมาย เจ้าของเพจและนักการตลาดสามารถโฟกัสที่การเพิ่มจำนวนผู้ติดตามที่มีคุณภาพเพียงอย่างเดียวได้เลย ไม่ต้องคอยเปรียบเทียบระหว่างยอดไลค์และยอดติดตามเหมือนในอดีต
ส่งเสริมการสร้างตัวตนและภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Promotes Brand Identity)
ประสบการณ์เพจแบบใหม่ (New Pages Experience) เอื้อให้เพจมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในนามของ "เพจ" ได้ง่ายขึ้น เช่น การเข้าไปแสดงความคิดเห็นในโพสต์ต่างๆ การมุ่งเน้นที่ "ผู้ติดตาม" ซึ่งมองเพจเป็นเหมือนบุคคลหรือองค์กรหนึ่งที่น่าสนใจ จะช่วยส่งเสริมให้ภาพลักษณ์และการสื่อสารของแบรนด์มีความชัดเจนและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สะท้อนขนาดของคอมมิวนิตี้ที่แท้จริงและแอคทีฟ (Reflects the True Size of an Active Community)
ยอดไลค์ในอดีตอาจรวมถึงผู้ที่เคยกดไลค์ไว้นานแล้วแต่ไม่ได้สนใจเนื้อหาของเพจอีกต่อไป แต่ยอดผู้ติดตามในปัจจุบันจะสะท้อนถึงจำนวนของกลุ่มคนที่ยังคงมีความสนใจ (Active) และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิตี้ของคุณจริงๆ ทำให้คุณเห็นภาพรวมของฐานแฟนที่แท้จริงได้ชัดเจนกว่า
ไลค์ Facebook" ยังคงมีความสำคัญอยู่หรือไม่?
Dr.Boost คิดว่าแม้ว่าปุ่ม "ไลค์" บนเพจจะหายไป แต่การ "ไลค์" ในระดับโพสต์ (Post-level Likes) ก็ยังคงอยู่และมีความสำคัญเช่นเดิมครับ การที่ผู้ใช้งานกดไลค์ที่โพสต์ของคุณ ยังคงเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกว่าคอนเทนต์นั้นๆ มีคุณภาพและน่าสนใจ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัลกอริทึมของ Facebook ในการเพิ่มการมองเห็น (Reach) และการมีส่วนร่วม (Engagement) ดังนั้น การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดการ "ไลค์" การแสดงความคิดเห็นและการแชร์ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการทำตลาดบน Facebook ครับ
กลยุทธ์เพิ่ม "ผู้ติดตาม" ในยุคที่ไม่มีปุ่ม "ไลค์ Facebook"

เมื่อเป้าหมายหลักเปลี่ยนจากการเพิ่มยอดไลค์มาเป็นการเพิ่มผู้ติดตามแทน ดังนั้นกลยุทธ์ในการบริหารจัดการเพจจึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย และนี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ครับ
สร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
นำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่า (Deliver Valuable Content)
"คุณค่า" ในที่นี้หมายถึงเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการของผู้ติดตามในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ที่เรียกว่า "3Es" ครับ
Educate (ให้ความรู้): คอนเทนต์ประเภทนี้จะทำให้เพจของคุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ และเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น How-to & Tips: "5 วิธีดูแลรักษาเครื่องหนังให้ดูใหม่อยู่เสมอ", "สอนเทคนิคการถ่ายภาพสินค้าด้วยมือถือ เป็นต้น
Entertain (ให้ความบันเทิง): คอนเทนต์ที่สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือความรู้สึกผ่อนคลาย จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ดีกับผู้ติดตาม เช่น เรื่องเล่าสนุกๆ: เล่าเรื่องราวที่มาของสินค้า หรือประสบการณ์ตลกๆ ที่เคยเจอ หรือ เบื้องหลัง (Behind the Scenes): ภาพหรือวิดีโอสนุกๆ ของทีมงานระหว่างทำงาน, ความผิดพลาดที่น่าขำขัน เป็นต้นครับ
Engage/Inspire (สร้างแรงบันดาลใจและการมีส่วนร่วม): คอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดความคิด ความรู้สึกดีๆ และอยากที่จะเข้ามาพูดคุยกับแบรนด์ เช่น เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ (Success Stories): บทสัมภาษณ์ลูกค้าที่ใช้สินค้า/บริการแล้วประสบความสำเร็จ, เรื่องราวการก่อตั้งแบรนด์
รูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลาย (Utilize Diverse Content Formats)
การนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบเดิมๆ อาจทำให้เพจน่าเบื่อ ให้คุณลองสลับใช้รูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลายจะช่วยให้ฟีดของคุณน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มคนได้หลายรูปแบบมากขึ้น เช่น
วิดีโอสั้น (Facebook Reels): ปัจจุบันเป็นรูปแบบที่ Facebook ให้การมองเห็น (Reach) สูงมาก เหมาะสำหรับคอนเทนต์ที่ย่อยง่าย สนุก และรวดเร็ว เช่น How-to สั้นๆ, Before & After, หรือการนำเสนอสินค้าแบบเร็วๆ
วิดีโอถ่ายทอดสด (Facebook Live): สร้างความรู้สึกใกล้ชิดและเรียลไทม์ได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับการจัด Q&A, สัมภาษณ์แขกรับเชิญ, พาชมเบื้องหลัง หรือเปิดตัวสินค้าใหม่
รูปภาพอัลบั้ม/Carousel: เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องเป็นขั้นตอน หรือนำเสนอสินค้าหลายๆ มุมในโพสต์เดียว ผู้ใช้มักจะใช้เวลาดูนานกว่าภาพเดี่ยว
Infographic: เปลี่ยนข้อมูลที่ซับซ้อนหรือตัวเลขเยอะๆ ให้กลายเป็นภาพที่สวยงามและเข้าใจง่าย
บทความสั้นๆ หรือเรื่องเล่า (Storytelling): การเขียนแคปชั่นที่น่าสนใจและเล่าเรื่องราวได้ดี ยังคงเป็นวิธีสร้างความผูกพันกับผู้ติดตามที่ทรงพลังเสมอ
โพสต์อย่างสม่ำเสมอและถูกเวลา (Post Consistently and Strategically)
ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผู้ติดตามจดจำเพจของคุณได้ และทำให้อัลกอริทึมรู้ว่าเพจของคุณยังคงเคลื่อนไหวอยู่
สร้างปฏิทินคอนเทนต์ (Content Calendar): วางแผนล่วงหน้าว่าจะโพสต์อะไร วันไหน เวลาใด จะช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้นและไม่พลาดวันสำคัญ ควรวางแผนให้มีคอนเทนต์ครบทั้ง 3Es ที่กล่าวไปข้างต้น
สร้างปฏิทินคอนเทนต์ (Content Calendar): วางแผนล่วงหน้าว่าจะโพสต์อะไร วันไหน เวลาใด จะช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้นและไม่พลาดวันสำคัญ ควรวางแผนให้มีคอนเทนต์ครบทั้ง 3Es ที่กล่าวไปข้างต้น
คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ: การโพสต์อย่างสม่ำเสมอไม่ได้หมายความว่าต้องโพสต์ทุกวัน การโพสต์คอนเทนต์ดีๆ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ย่อมดีกว่าการโพสต์คอนเทนต์ที่ไม่มีคุณภาพทุกวัน
ใช้เครื่องมือของ Facebook ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดีแล้ว การรู้จักใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ Facebook ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเพจอย่างชาญฉลาด จะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายมาเป็นผู้ติดตามได้อย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจและใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้การบริหารเพจของคุณเป็นไปอย่างมืออาชีพและเกิดผลลัพธ์สูงสุด เช่นการใช้ฟีเจอร์เชิญเพื่อน (Invite Friends) ที่เคยชวนมากดไลค์ มาเป็นการเชิญให้มากดติดตามเพจของคุณแทน หรือการโปรโมทโพสต์ต์ที่มีประสิทธิภาพหรือโปรโมทเพจโดยตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม
กระตุ้นการมีส่วนร่วม (Engagement) เพื่อเพิ่มการมองเห็น
Engagement ไม่ใช่แค่ตัวเลขไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ แต่คือ "บทสนทนา" ระหว่างเพจของคุณกับผู้ติดตาม ยิ่งคุณสร้างบทสนทนาได้มากเท่าไหร่ เพจของคุณก็จะยิ่งมีชีวิตชีวาและเติบโตได้ไกลขึ้นเท่านั้น เช่นการตอบทุกความคิดเห็นและข้อความ, เปลี่ยนผู้ติดตามให้เป็นผู้มีส่วนร่วม ผ่านคอนเทนต์ที่เปิดให้โต้ตอบกับคุณได้แบบ Q&A หรือ Live Streaming รวมไปถึงการชี้นำด้วย Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน เช่น "ฝากแชร์ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์" เพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เราต้องการครับ
บทสรุป
การหายไปของปุ่ม "ไลค์ Facebook" บนเพจ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่นักการตลาดและผู้ดูแลเพจต้องทำความเข้าใจและปรับตัว การมุ่งเน้นไปที่การสร้างฐาน "ผู้ติดตาม" ที่มีคุณภาพผ่านคอนเทนต์ที่น่าสนใจและการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำตลาดบน Facebook ในปัจจุบันและอนาคตครับ